วันพุธรับเถ้า(ของชาวคริสต์) :
ปีนี้ตรงกับวันพุธ ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552
โมเสสได้ขึ้นไปอยู่บนภูเขาซีนายเป็นเวลาสี่สิบวัน เพื่อรับพระบัญญัติแห่งพันธสัญญา
พระเยซูเจ้าทรงจำศีลอดอาหารสี่สิบวันในที่เปลี่ยวก่อนเริ่มภารกิจของพระองค์
คริสตชนจึงเตรียมตัวเพื่อฉลองธรรมล้ำลึกแห่งปัสกาของการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้า ด้วยเทศกาลมหาพรตซึ่งยาวนานสี่สิบวันเช่นกัน โดยเริ่มจากวันพุธรับเถ้าเป็นต้นไป
เทศกาลมหาพรตเป็นช่วงเวลาที่คริสตชนใช้สำหรับสำรวจตรวจค้นจิตใจ และเมื่อพบว่าตนเองได้ทำสิ่งใดผิดพลาดหรือประพฤติชั่วไปแล้วก็ให้กลับใจใหม่ เป็นเวลาถือศีลภาวนา การทำกิจเมตตาและการจำศีลอดอาหาร เพื่อชำระล้างจิตใจเอาสิ่งไม่ดีทิ้งให้หมดไป จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่
เทศกาลนี้ได้เริ่มปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยอัครธรรมทูต เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจคริสตฺชนให้พร้อมสำหรับความชื่นชมยินดี เนื่องในวันคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า เป็นโอกาสของผู้ที่มีเชื่อแล้วหลงผิดไป จะได้กลับมาถวายตัวใหม่
เนื่องจากวันอาทิตย์เป็นวันที่พระเยซูทรงคืนพระชนม์ชีพ ดังนั้นการเวลานับระยะเวลาให้ครบ 40 วัน จะนับเฉพาะวันจันทร์ถึงวันเสาร์ เว้นวันอาทิตย์ คือนับสัปดาห์ละ 6 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันพุธรับเถ้าจนถึงวันเสาร์ก่อนอิสเตอร์
ส่วนการคำนวณว่าวันใดจะเป็นวันพุธรับเถ้านั้น ก็ให้นับตั้งแต่วันพุธก่อนวันอิสเตอร์ไปเจ็ดวันพุธ ดังนั้นใน ปี 2009 นี้ วันพุธรับเถ้าจึงตรงกับวันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ ดังกล่าวแล้ว
ในหลายประเทศเรียกวันอังคารก่อนวันพุธรับเถ้า หรือวันอังคารก่อนเทศกาลมหาพรตจะเริ่มขึ้นต่างกันออกไป เช่น วันมาร์ดิ กราส์ (Mardi Gras) วันคาร์นิวาล (Carnival) วันโชรฟ ทิวสเดย์ (Shrove Tuesday)
วันอังคารดังกล่าวนี้เขาจะจัดงานรื่นเริงส่งท้ายก่อนเข้าสู่เทศกาลมหาพรต ซึ่งมีบรรยากาศแบบลุ่มลึกด้วยการภาวนาธรรม คำว่า “คาร์นิวาล” มีรากศัพท์เป็นภาษาละตินแปลว่า “อำลาจากการกินเนื้อ” หมายถึงการโบกมืออำลามังสาหารไปพลางก่อน เพราะต่อจากนี้ไปข้าจะถือมังสวิรัติ งดเว้นกินเนื้อสัตว์เป็นเวลา 40 วัน การงดเว้นกินเนื้อสัตว์ ในเทศกาลนี้เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านานหลายศตวรรษมาแล้ว แต่ในประเทศไทยไม่ได้ถือปฎิบัติตามประเพณีดังกล่าว (สำหรับชาวคริสต์แบบโรมันคาทอลิก ก็จะบังคับให้อดเนื้อ อดอาหารอยู่สองวัน คือ วันพุธรับเถ้าและวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์(วันระลึกถึงการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า)
คริสตจักรตะวันออกนับวันเทศกาลนี้ต่างกับคริสต์จักรตะวันตก คือจะนับวันอาทิตย์รวมอยู่ในเทศกาลมหาพรตด้วย เทศกาลมหาพรตของเขาจึงเริ่มตั้งแต่วันจันทร์สะอาด (Clean Monday) รวมทั้งหมดแล้วมี 7 วันจันทร์ก่อนถึงวันอิสเตอร์ การถือศีลอดจะเพลาลงในวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นการให้เกียรติวันสะบาโตและวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันคืนพระชนม์ เทศกาลมหาพรตของเขาตามมาด้วย "วันเสาร์ลาซาลัส" และ "วันอาทิตย์ทางตาล" ซึ่งเป็นวันเลี้ยงฉลอง แล้วก็เริ่มต้นถืออดใหม่ในวันจันทร์ของสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงแล้วสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ในคริสต์จักรตะวันออกเป็นคนละส่วนกับเทศกาลมหาพรต
กิจศรัทธาสำหรับวันพุธรับเถ้านั้น พระศาสนจักรเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ทุกคนทำการจำศีลอดอาหาร นั่นคือให้อดมื้ออาหารที่สำคัญที่สุดของวัน ทั้งนี้เพื่อเป็นเครื่องหมายอันแสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะเสียสละและการรู้จักร่วมสุขร่วมทุกข์กับคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าในพระทรมานของพระองค์
ความพร้อมที่เริ่มต้นด้วยการรู้จักฟังเสียงของพระเจ้า พร้อมที่จะรับรู้ค่านิยมแห่งพระวาจาของพระองค์ อันเป็นเครื่องหมายของการกลับใจ โดยนัยนี้การจำศีลอดอาหารของคริสตชนก็จะละม้ายคล้ายกับของพระอาจารย์เจ้า เวลาที่พระองค์ทรงเริ่มปฏิบัติพระภารกิจของพระองค์ ทรงภาวนาจำศีลอดอาหาร 40 วันในที่เปลี่ยว
การจำศีลอดอาหารของคริสตชนในวันนี้ จะต้องยืดออกไปหรือต่อเนื่องออกไปตลอดเทศกาลมหาพรต ด้วยการริเริ่มส่วนตัวในการรู้จักเสียสละทรัพย์สมบัติเงินทอง ความสนุกสนาน ความสะดวกสบายส่วนตัว แม้ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยด้วย ทั้งนี้ให้คริสตชนทำด้วยความสมัครใจและด้วยความยินดี ดังนี้การจำศีลอดอาหารแบบพิธีการที่คริสตชนทำด้วยจิตตารมณ์ ไม่ใช่แบบภายนอก ก็จะกลายเป็นเครื่องหมายแห่งความเชื่อ และหนทางแห่งการช่วยให้รอดสำหรับเราแต่ละคน
จากอีกด้านหนึ่ง โดยการยอมสู้ทนกับการรู้จักอดอะไรบ้าง ก็จะทำให้เรารู้จักร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับคนอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ซึ่งคุ้นเคยกับการอดอาหาร การขาดสิ่งที่จำเป็นสำหรับยังชีพ การขาดการศึกษา และการขาดสิ่งที่จะช่วยให้เขาได้พัฒนาตัวเองให้ทัดเทียมกับคนอื่น ๆ ดังนี้ การจำศีลอดอาหารก็กลายเป็นพฤติกรรมทางสัญลักษณ์ และเป็นการประนามความอยุติธรรมอันเกิดจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ที่สุดเป็นการรู้จักร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนที่อาภัพน่าสงสาร เพราะฉะนั้นการเตรียมฉลองปัสกาก็จะกลายเป็น “มหาพรตแห่งความรักฉันท์พี่น้อง” และการทานอาหาร (ค่ำ) ของพระเยซูคริสตเจ้าจะกลายเป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความยากจนอาภัพน่าสงสาร การทำกิจใช้โทษบาป ความหวัง และเป็นการประกาศว่า อาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
ใครก็ตามที่มีส่วนร่วมในพระทรมานของพระคริสตเจ้าอย่างจริงจัง จะทำให้เขาได้รู้จักว่าการเสด็จกลับไปหาพระบิดาเจ้านั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว ทั้งยังทำให้เขาได้รู้จักอีกว่าการรู้จักตายต่อเนื้อหนังของตัวเอง วันละเล็กละน้อยก็จะทำให้จิตแห่งการกลับคืนชีพและจิตแห่งชีวิตใหม่สามารถเบ่งบานได้ในที่สุด
หมายเหตุ คริสตจักรตะวันตกประกอบด้วย โรมันคาทอลิก โปรเตสแตนท์ แองกลิกัน ส่วนคริสตจักรตะวันออกประกอบด้วยคริสตจักรออร์ธอด็อกซ์ตะวันออก ออร์ธอด็อกซ์ตะวันตก คริสต์จักรอิสเทอร์ไรท์เชิร์ช
ปีนี้ตรงกับวันพุธ ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552
โมเสสได้ขึ้นไปอยู่บนภูเขาซีนายเป็นเวลาสี่สิบวัน เพื่อรับพระบัญญัติแห่งพันธสัญญา
พระเยซูเจ้าทรงจำศีลอดอาหารสี่สิบวันในที่เปลี่ยวก่อนเริ่มภารกิจของพระองค์
คริสตชนจึงเตรียมตัวเพื่อฉลองธรรมล้ำลึกแห่งปัสกาของการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้า ด้วยเทศกาลมหาพรตซึ่งยาวนานสี่สิบวันเช่นกัน โดยเริ่มจากวันพุธรับเถ้าเป็นต้นไป
เทศกาลมหาพรตเป็นช่วงเวลาที่คริสตชนใช้สำหรับสำรวจตรวจค้นจิตใจ และเมื่อพบว่าตนเองได้ทำสิ่งใดผิดพลาดหรือประพฤติชั่วไปแล้วก็ให้กลับใจใหม่ เป็นเวลาถือศีลภาวนา การทำกิจเมตตาและการจำศีลอดอาหาร เพื่อชำระล้างจิตใจเอาสิ่งไม่ดีทิ้งให้หมดไป จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่
เทศกาลนี้ได้เริ่มปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยอัครธรรมทูต เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจคริสตฺชนให้พร้อมสำหรับความชื่นชมยินดี เนื่องในวันคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า เป็นโอกาสของผู้ที่มีเชื่อแล้วหลงผิดไป จะได้กลับมาถวายตัวใหม่
เนื่องจากวันอาทิตย์เป็นวันที่พระเยซูทรงคืนพระชนม์ชีพ ดังนั้นการเวลานับระยะเวลาให้ครบ 40 วัน จะนับเฉพาะวันจันทร์ถึงวันเสาร์ เว้นวันอาทิตย์ คือนับสัปดาห์ละ 6 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันพุธรับเถ้าจนถึงวันเสาร์ก่อนอิสเตอร์
ส่วนการคำนวณว่าวันใดจะเป็นวันพุธรับเถ้านั้น ก็ให้นับตั้งแต่วันพุธก่อนวันอิสเตอร์ไปเจ็ดวันพุธ ดังนั้นใน ปี 2009 นี้ วันพุธรับเถ้าจึงตรงกับวันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ ดังกล่าวแล้ว
ในหลายประเทศเรียกวันอังคารก่อนวันพุธรับเถ้า หรือวันอังคารก่อนเทศกาลมหาพรตจะเริ่มขึ้นต่างกันออกไป เช่น วันมาร์ดิ กราส์ (Mardi Gras) วันคาร์นิวาล (Carnival) วันโชรฟ ทิวสเดย์ (Shrove Tuesday)
วันอังคารดังกล่าวนี้เขาจะจัดงานรื่นเริงส่งท้ายก่อนเข้าสู่เทศกาลมหาพรต ซึ่งมีบรรยากาศแบบลุ่มลึกด้วยการภาวนาธรรม คำว่า “คาร์นิวาล” มีรากศัพท์เป็นภาษาละตินแปลว่า “อำลาจากการกินเนื้อ” หมายถึงการโบกมืออำลามังสาหารไปพลางก่อน เพราะต่อจากนี้ไปข้าจะถือมังสวิรัติ งดเว้นกินเนื้อสัตว์เป็นเวลา 40 วัน การงดเว้นกินเนื้อสัตว์ ในเทศกาลนี้เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านานหลายศตวรรษมาแล้ว แต่ในประเทศไทยไม่ได้ถือปฎิบัติตามประเพณีดังกล่าว (สำหรับชาวคริสต์แบบโรมันคาทอลิก ก็จะบังคับให้อดเนื้อ อดอาหารอยู่สองวัน คือ วันพุธรับเถ้าและวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์(วันระลึกถึงการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า)
คริสตจักรตะวันออกนับวันเทศกาลนี้ต่างกับคริสต์จักรตะวันตก คือจะนับวันอาทิตย์รวมอยู่ในเทศกาลมหาพรตด้วย เทศกาลมหาพรตของเขาจึงเริ่มตั้งแต่วันจันทร์สะอาด (Clean Monday) รวมทั้งหมดแล้วมี 7 วันจันทร์ก่อนถึงวันอิสเตอร์ การถือศีลอดจะเพลาลงในวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นการให้เกียรติวันสะบาโตและวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันคืนพระชนม์ เทศกาลมหาพรตของเขาตามมาด้วย "วันเสาร์ลาซาลัส" และ "วันอาทิตย์ทางตาล" ซึ่งเป็นวันเลี้ยงฉลอง แล้วก็เริ่มต้นถืออดใหม่ในวันจันทร์ของสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงแล้วสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ในคริสต์จักรตะวันออกเป็นคนละส่วนกับเทศกาลมหาพรต
กิจศรัทธาสำหรับวันพุธรับเถ้านั้น พระศาสนจักรเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ทุกคนทำการจำศีลอดอาหาร นั่นคือให้อดมื้ออาหารที่สำคัญที่สุดของวัน ทั้งนี้เพื่อเป็นเครื่องหมายอันแสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะเสียสละและการรู้จักร่วมสุขร่วมทุกข์กับคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าในพระทรมานของพระองค์
ความพร้อมที่เริ่มต้นด้วยการรู้จักฟังเสียงของพระเจ้า พร้อมที่จะรับรู้ค่านิยมแห่งพระวาจาของพระองค์ อันเป็นเครื่องหมายของการกลับใจ โดยนัยนี้การจำศีลอดอาหารของคริสตชนก็จะละม้ายคล้ายกับของพระอาจารย์เจ้า เวลาที่พระองค์ทรงเริ่มปฏิบัติพระภารกิจของพระองค์ ทรงภาวนาจำศีลอดอาหาร 40 วันในที่เปลี่ยว
การจำศีลอดอาหารของคริสตชนในวันนี้ จะต้องยืดออกไปหรือต่อเนื่องออกไปตลอดเทศกาลมหาพรต ด้วยการริเริ่มส่วนตัวในการรู้จักเสียสละทรัพย์สมบัติเงินทอง ความสนุกสนาน ความสะดวกสบายส่วนตัว แม้ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยด้วย ทั้งนี้ให้คริสตชนทำด้วยความสมัครใจและด้วยความยินดี ดังนี้การจำศีลอดอาหารแบบพิธีการที่คริสตชนทำด้วยจิตตารมณ์ ไม่ใช่แบบภายนอก ก็จะกลายเป็นเครื่องหมายแห่งความเชื่อ และหนทางแห่งการช่วยให้รอดสำหรับเราแต่ละคน
จากอีกด้านหนึ่ง โดยการยอมสู้ทนกับการรู้จักอดอะไรบ้าง ก็จะทำให้เรารู้จักร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับคนอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ซึ่งคุ้นเคยกับการอดอาหาร การขาดสิ่งที่จำเป็นสำหรับยังชีพ การขาดการศึกษา และการขาดสิ่งที่จะช่วยให้เขาได้พัฒนาตัวเองให้ทัดเทียมกับคนอื่น ๆ ดังนี้ การจำศีลอดอาหารก็กลายเป็นพฤติกรรมทางสัญลักษณ์ และเป็นการประนามความอยุติธรรมอันเกิดจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ที่สุดเป็นการรู้จักร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนที่อาภัพน่าสงสาร เพราะฉะนั้นการเตรียมฉลองปัสกาก็จะกลายเป็น “มหาพรตแห่งความรักฉันท์พี่น้อง” และการทานอาหาร (ค่ำ) ของพระเยซูคริสตเจ้าจะกลายเป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความยากจนอาภัพน่าสงสาร การทำกิจใช้โทษบาป ความหวัง และเป็นการประกาศว่า อาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
ใครก็ตามที่มีส่วนร่วมในพระทรมานของพระคริสตเจ้าอย่างจริงจัง จะทำให้เขาได้รู้จักว่าการเสด็จกลับไปหาพระบิดาเจ้านั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว ทั้งยังทำให้เขาได้รู้จักอีกว่าการรู้จักตายต่อเนื้อหนังของตัวเอง วันละเล็กละน้อยก็จะทำให้จิตแห่งการกลับคืนชีพและจิตแห่งชีวิตใหม่สามารถเบ่งบานได้ในที่สุด
หมายเหตุ คริสตจักรตะวันตกประกอบด้วย โรมันคาทอลิก โปรเตสแตนท์ แองกลิกัน ส่วนคริสตจักรตะวันออกประกอบด้วยคริสตจักรออร์ธอด็อกซ์ตะวันออก ออร์ธอด็อกซ์ตะวันตก คริสต์จักรอิสเทอร์ไรท์เชิร์ช
No comments:
Post a Comment